tag:blogger.com,1999:blog-10592362194859181662024-02-20T23:05:33.088+07:00จริยธรรมคุณธรรมAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03696753016549964197noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-1059236219485918166.post-12528246685909208702013-08-05T11:00:00.001+07:002013-08-11T16:39:30.239+07:00ความเป็นครู<h2>
ความเป็นครู</h2>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
<span style="background-color: white; color: #333333; font-size: 15px; font-weight: normal; line-height: 1.4;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ครู ซึ่งมาจากคำว่า คุรุ แปลว่า หนัก ฉะนั้นแล้ว ครู จึงเป็นผู้หนัก หนักในเรื่องใดบ้าง เช่น หนักในการที่จะสั่งสอนศิษย์ให้เป็นบุคคลที่มีความรู้ หนักในการที่จะสอนคนหลาย ๆ คนให้เป็นคนที่ดี เป็นบุคคลที่สังคมมีความต้องการ และการที่เราจะสามารถสอนคนเหล่านั้นได้เราจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล เหล่านั้นดีพอสมควร เราจึงจะสามารถสอนเขาได้ ซึ่งเข้ากับสุภาษิตจีนที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” การสอนคนก็เช่นเดียวกัน การสอนก็เปรียบเสมือนกับการรบที่จะต้องมีการใช้ แรงกาย แรงใจ และกำลังสมองในการที่จะมาคิดกาวิธีทางที่จะเอาชนะข้าศึก ซึ่งก็เปรียบได้กับ ความไม่รู้หรือความเขลาในตัวศิษย์ และการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติ เรื่องราว หรือพื้นเพของคนที่เราเรียกว่าศิษย์นั้นก็เป็นอีกกลยุทธหนึ่งที่จะเอาชนะ ความเขลา หรือข้าศึกในการรบได้</span></span></h3>
<div class="post-body entry-content" id="post-body-3221334638456360062" itemprop="description articleBody" style="background-color: white; color: #333333; line-height: 1.4; position: relative; width: 528px;">
<h3 style="text-align: left;">
<span lang="TH"><span style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: medium;"> </span><span style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: medium; font-weight: normal;"> </span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: small;"> ความ หมายของครู กล่าวคือ<span style="font-weight: normal;"> </span></span></span></h3>
<h3 style="text-align: left;">
<span lang="TH"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: small;"><span style="font-weight: normal;">ผู้ที่เป็นครูควรมีภาวะดังกล่าวอันได้แก่ ความรู้ ความประพฤติและคุณธรรม ไม่ว่าครูนั้นจะอยู่ ณ ที่ใด หน่วยงานไหน หรือซีกใดของโลก</span></span></span></h3>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjv_DjpLMNpLS6emWI6qhWNAFDvy7E93oDmztfoleWIncG8Y3WUUqn9Knpbi2MxdO55sMR1MYDiXN4uCGrr7mvI0Uexoi7ovDzXztVsi7zhEnRv0ppC6ZOO_BEUs4GN_TevlZCe9G8WPKg/s1600/13576307641357630888l.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjv_DjpLMNpLS6emWI6qhWNAFDvy7E93oDmztfoleWIncG8Y3WUUqn9Knpbi2MxdO55sMR1MYDiXN4uCGrr7mvI0Uexoi7ovDzXztVsi7zhEnRv0ppC6ZOO_BEUs4GN_TevlZCe9G8WPKg/s320/13576307641357630888l.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
</div>
<a name='more'></a><span style="font-size: small;"><br /></span>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; font-size: small; text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><br /></span></div>
<h3>
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-weight: normal; line-height: 21px;"><span style="font-size: small;"> </span></span><span style="font-size: small; font-weight: normal;"><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">อย่าง ไรก็ตาม ยังมีความหมายของครู อีกอย่างหนึ่งที่กำหนดโดยกฎหมายให้เป็น รูปแบบ แบ่งเป็นชั้นหรือระดับ สูงต่ำแตกต่างกัน และอาจเกิดสิ่งที่เรียกว่าเกียรติหรือศักดิ์ศรี แทรกซ้อนอยู่ในรูปแบบนั้นด้วย ซึ่งบางที อาจปิดกั้นไม่ให้มองเห็นความหมายตามเนื้อแท้ ก็ได้ ความหมายของครูที่กำหนดโดยกฎหมายนี้ อาจเรียกว่า "ความหมายของครูตามรูปแบบ"</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ที่ ผู้เขียนใช้ข้อความนี้ เพราะเป็น ความหมายที่ไม่แน่นอนตลอดไป อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามความเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย ซึ่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการอีกทีหนึ่ง ถ้ากฎหมายกำหนดครูให้เป็นรูปแบบระดับใด ความหมายของครูก็จะเปลี่ยนไปตามรูปแบบระดับนั้น ๆ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ตัวอย่าง ความหมายของครูตามรูปแบบ จะเห็นได้จากกฎหมายบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ กำหนดรูปแบบของครูโดยเรียกว่า "ข้าราชการครู" ซึ่งมี ๓ กลุ่ม ได้แก่ ๑) กลุ่มที่มีหน้าที่เป็นผู้สอนในหน่วยงานทางการศึกษา ๒) กลุ่มที่มีหน้าที่เป็นผู้บริหารและให้การศึกษาใน หน่วยงานทางการศึกษา และ ๓) กลุ่มที่มี หน้าที่เกี่ยวกับการให้การศึกษาที่ไม่สังกัดโรงเรียน วิทยาลัย หรือสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่น ของกระทรวงศึกษาธิการ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> เฉพาะกลุ่มที่ ๑ ซึ่งทำหน้าที่สอนเป็นหลัก ก็มีการแบ่งตำแหน่งเป็นระดับ ๆ ไปจากล่างขึ้นไปสูง คือ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๑. ครู ๑</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๒. ครู ๒</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๓. อาจารย์ ๑</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๔. อาจารย์ ๒</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๕. อาจารย์ ๓</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๖. ผู้ช่วยศาสตราจารย์</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๗. รองศาสตราจารย์</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๘. ศาสตราจารย์</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> และบางตำแหน่งก็กำหนดให้มีได้ เฉพาะในบางหน่วยงาน คือตำแหน่งที่ ๖-๗-๘ จะมีได้เฉพาะในหน่วยงานที่มีการสอนถึง ระดับปริญญาเท่านั้น</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ยิ่ง กว่านั้น ในสถาบันอุดมศึกษาบางสังกัด กล่าวคือ มหาวิทยาลัย ได้มีการกำหนดแบบของครูเป็นพิเศษต่างหากออกไปจน ไม่มีกลิ่นไอของครูเลยทีเดียว ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายคนละฉบับกัน</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ความ หมายของครูตามรูปแบบอาจ มีส่วนกระทบในทางลบต่อความหมายของครูตามเนื้อแท้ก็ได้ และคำว่า "ครู" อาจจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากความสนใจของสังคมโดย อาจถูกมองว่าไม่เหมาะกับยุคสมัย เช่น แทนที่ จะเรียกว่า "ครู" ก็เรียกว่า "อาจารย์" หรือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์" หรือคำอื่น ๆ (อาจมีขึ้นภายหลัง) ดูจะเท่หรือโก้กว่าหรือทันสมัยกว่า</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ที่ กล่าวเช่นนี้ คงไม่เกินความจริง เพราะกฎหมายที่กำหนดขึ้นในระยะหลัง ๆ ดูจะพยายามลดความสำคัญของคำว่า "ครู" ลง จะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม มองเฉพาะในแง่สถาบันผลิตครู เช่น วิทยาลัยครู ได้กลายมาเป็นสถาบันราชภัฏ มหาวิทยาลัยที่ผลิตครู แม้มีคณะที่รับผิดชอบเรื่องครู ก็พยายามที่กลายชื่อเป็นอย่างอื่น เช่นศึกษาศาสตร์ หรือบุคลากรทางการศึกษา</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> นาน ๆ ไป คำว่า "ครู" คงจะหมดไป และคนที่เป็นครู อาจจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถทำหน้าที่สอนได้ จนที่สุดแม้แต่เครื่องเทคโนโลยีก็อาจเป็นครูได้ เพราะสามารถทำหน้าที่สอนให้เกิดความรู้ได้ ดังนั้น องค์ประกอบแห่งความเป็นครู ที่กล่าวข้างต้น คือ ความรู้ ความประพฤติ และคุณธรรม อาจเหลือเฉพาะองค์ประกอบเดียวคือ ความรู้เท่านั้นก็ได้ หลับตาดูก็แล้วกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง สังคมในอนาคตจะวุ่นวายแค่ไหนสุดที่จะเดาได้</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">บทบาทหน้าที่ของครูตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> พุทธทาสภิกขุ (๒๕๒๙ : ๒๔๒-๒๕๓) ได้กล่าวถึงบทบาทของครูไว้ว่</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๑. บทบาทของครู</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ครู คือผู้นำทางวิญญาณ ทั้งแก่บุคคลและสังคม ใน ๓ ประการคือ</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๑. สอนให้รู้จักความรอดที่แท้จริง คือการดับทุกข์</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๒. สอนให้รู้จักความสุขที่แท้จริง คือความสุขจากการทำหน้าที่ หน้าที่นั้นแยกได้</span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"> </span><span lang="TH" style="line-height: 21px;">๒ ประการ ประการที่ ๑ คือ การบริหารชีวิตให้เป็นสุข ประการที่ ๒ คือ การใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๓. สอนให้รู้จักหน้าที่ที่แท้จริง คือรู้จักหน้าที่ในฐานะที่เป็นสิ่งสูงสุด รักที่จะทำหน้าที่และมีความสุขในการทำหน้าที่</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๒. ครูเป็นผู้สร้างโลก</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> บุคคล ในโลกจะดีหรือเลว ก็เพราะการศึกษาและผู้ให้การศึกษา ก็คือครู ดังนั้น ครูจึงเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต โดยผ่านศิษย์ โลกที่พึงประสงค์คือ โลกของคนดีอันเปรียบได้กับ</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๑. มนุษยโลก คือ สร้างบุคคลที่มีจิตใจสูง</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๒. พรหมโลก คือ สร้างบุคคลที่ประเสริฐรักเพื่อนมนุษย์ มีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๓. เทวโลก คือ สร้างบุคคลให้มีหิริ โอตตัปปะ</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๓. หน้าที่ของครู</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> หน้าที่ ของครู คือสร้างความอยู่รอดของสังคม โดยการให้การศึกษาที่สมบูรณ์แก่ศิษย์ การศึกษาที่สมบูรณ์คือ การศึกษาที่ครบองค์สาม อันได้แก่</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๑. ให้ความรู้ทางโลก หมายถึง การเรียนหนังสือ เพื่อพัฒนาสติปัญญาและการเรียนวิชาชีพ เพื่อให้สามารถอยู่รอดทางกาย</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> <span lang="TH" style="line-height: 21px;">๒. ให้ความรู้ทางธรรม เพื่อให้ใจอยู่รอด คือรอดพ้นจากความครอบงำของกิเลส มีความเป็นมนุษย์ คือใจสูง ใจสว่าง และใจสงบ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๓. ให้รู้จักทำตนให้เป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและสังคม</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">คุณลักษณะที่ดีของครู</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๑. ครูต้องมีลักษณะบากบั่น ต่อสู้ อดทน สร้างคนให้เป็นคนดีให้ได้</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๒. ครูต้องมีลักษณะครบถ้วนทุกด้าน ให้สมกับที่คนยกย่องนับถือว่ามีใจประเสริฐ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๓. ครูต้องงดเว้นอบายมุขทุกอย่าง เช่น การดื่มเหล้า เล่นการพนัน</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๔. ครูต้องเป็นคนมีน้ำใจสะอาด มีความเสียสละมากไม่จำเป็นต้องมีปริญญาการศึกษาสูงเสมอไป ขอเพียงแต่มีความจริงใจ มีใจรักในความเป็นครู</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๕. ครูควรให้เวลาแก่เด็กนักเรียน ในการที่จะศึกษาปัญหาต่าง ๆ และฟังความคิดเห็นของเด็กบ้าง</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๖. ครูควรทำตัวให้ดี มีนิสัยดี เพื่อลบล้างข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับครูตามที่ปรากฏในสื่อมวลชนต่าง ๆ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๗. ครูไม่ควรถือตัว ควรเข้ากับทุกคนแม้จะเป็นคนยากจนก็ตาม</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๘. ครูควรมีลักษณะพร้อมที่จะสร้างคนให้เป็นคนดีมีความรู้ ความคิดและเป็นคนดี</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๙. ครูต้องเป็นคนสามารถสร้างสรรค์สังคมและช่วยเหลือประเทศชาติเป็นอันดับแรก ดังนั้น ครูต้องขยันอย่างน้อยให้ใกล้เคียงกับคนที่ทำงานธนาคาร</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">๑๐. ในด้านความรู้ ชาวบ้านมีความศรัทธาว่า ครูมีความรู้ดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ครู ควรจะมีให้มากคือด้านความประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดี</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">คุณธรรมความเป็นครู</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span lang="TH" style="line-height: 21px;"> </span><span lang="TH" style="line-height: 21px;">คุณธรรม ความเป็นครูในบทความนี้เป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวสำหรับคนที่ประกอบวิชาชีพครู ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบภายนอกตัวครูอื่นอีก ไม่ว่าระบบบริหารสถาบันวิชาชีพ จรรยาบรรณ หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> คำ ว่า "ครู" นั้น แม้โดยรูปแบบจะมีการแบ่งเป็นกลุ่ม ระดับตามลักษณะงาน และระดับการศึกษาที่ตนมีบทบาทหน้าที่ก็ตาม แต่โดยเนื้อแท้ ครูต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติหรือองค์ประกอบ ๓ ประกอบคือ ๑) มีความรู้ดี ๒) มีความประพฤติดี และ ๓) มีคุณธรรม</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> หากขาดคุณสมบัติทั้งสามนี้ ก็ยากที่จะคงบทบาทแห่งความเป็นครูอยู่ได้</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> บทบาท แห่งความเป็นครูนั้น แม้จะกำหนดไว้แตกต่างกันตามลักษณะประเภทองค์กรที่ครูสังกัด แต่ก็อยู่ในกรอบใหญ่ ๓ กรอบตามคุณสมบัติของครูนั่นเอง คือบทบาทในกรอบความรู้ กรอบความประพฤติ และกรอบคุณธรรม</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> แม้ จะมีกรอบททั้งสามนี้แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากภาวการณ์ปัจจุบันเป็นภาวการณ์วิกฤต ตามกระแสโลกาภิวัตน์ การออกนอกกรอบอาจเกิดขึ้นได้ อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายในสังคม เพราะสังคมนั้น ประกอบด้วยบุคคลจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนย่อมได้รับการศึกษาอบรมไปจากครู เมื่อครู ซึ่งเป็นต้นแบบออกนอกกรอบ ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผลผลิตก็จะออกนอกกรอบไปด้วย</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ดัง นั้น จึงจำเป็นที่ครูต้องมีปรัชญาและคุณธรรมที่เสริมเพิ่มความเป็นครู ในด้านปรัชญานั้นควรที่จะยึดหรือยืนอยู่ตรงจุดที่มีดุลยภาพ คือตรงจุดกึ่งกลางแห่งกระแสโลกาภิวัตน์ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรวดเร็ว และชลอความเร็วเกินขนาดจนอาจเป็นอันตรายได้</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ใน ด้านคุณธรรม โดยสามัญสำนึก ทุกคนย่อมตระหนักได้เองว่า อะไรดีไม่ดี ควรไม่ควร ถ้าคนนั้นผ่านการกล่อมเกลาทางสังคมมาระดับหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครูได้ผ่านการกล่อมเกลา และกรองมาแล้วหลายระดับและหลายครั้ง ย่อมทราบโดยสำนึกแน่นอนว่าอะไรดีควรทำตามหน้าที่ นั่นหมายความว่า คุณธรรมเป็นสิ่งที่มีประจำใจของใคร ๆ อยู่แล้ว</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> อย่าง ไรก็ตาม ในแง่การศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ต้องคำนึงขั้นตอนการพัฒนาตามหลัก ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิปละปัญญา เพราะเมื่อดำเนินการตามหลักนี้แล้ว จะทำให้เกิดคุณธรรมอื่น ๆ ติดตามมาโดยอัตโนมัติ ในฐานะที่หลักไตรสิกขานั้นเป็นหลักเพื่อการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อมุ่งไปสู่พุทธิปัญญาที่จะทำให้มีอิสระปลอดโปร่ง และปลอดภัยอย่างแท้จริง อันเป็นที่ปรารถนาของคนทุกระดับ</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่จะขวนขวายแสวงหาเพื่อการพัฒนาด้วยตน เอง โดยไม่สัมพันธ์กับระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบบริหารจัดการบุคลากรครูอันเป็นโครงสร้างและสิ่งแวด ล้อมสำคัญที่จะให้เกิดการปฏิบัติดังกล่าว จึงน่าจะมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการดังกล่าวเกี่ยวกับบุคลากร ครู ข้อเสนอแนะบางประการ ดังนี้</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๑. ครูในฐานะปัจเจกบุคคลต้องมีใจพร้อมที่จะทำหน้าที่ครู เป้าหมายคือยกระดับวิญญาณมนุษย์ ไม่ใช่ยกระดับความรู้เท่านั้น</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๒. รัฐต้องปฏิรูปครูทั้งระบบทุกระดับ ตั้งแต่ครูก่อนประถมจนถึงรถดับอุดมศึกษา (ผู้ทำหน้าที่สอนทุกระดับถือว่าเป็นครู) โดยปฏิรูปทั้งระบบการผลิต การใช้และการพัฒนา</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๓. ถ้าถือว่าวัยต้น ๆ ของคนเป็นวัยที่มีความสำคัญ เพราะเป็นวัยที่วางรากฐานการพัฒนาที่สำคัญที่สุด เป็นวัยที่ชี้ทิศทางแห่งการพัฒนาวัยต่อ ๆ ไปแล้ว ครูในระดับต้น ๆ คือก่อนประถมศึกษาและประถมศึกษาก็ควรจะได้รับความสำคัญเป็นพิเศษด้วย โดยเฉพาะแง่ความก้าวหน้าทั้งทางวิชาการและวิชาชีพครู</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย น่าจะได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ครูในระดับต้น ๆ ได้รับความสำคัญเป็นพิเศษดังกล่าว ทางก้าวหน้าของครูในระดับต้น ๆ น่าจะมีช่องทางเหมือนกันกับครูในระดับสูง ๆ ตำแหน่งทางวิชาการไม่ว่าจะโดยชื่อ หรือสิทธิประโยชน์อันมากับตำแหน่งนั้น น่าจะมีเหมือนกันและเท่ากันสำหรับครูทุกระดับ ศาสตราจารย์มีได้แม้ในครูอนุบาล ถ้าคุณภาพทางวิชาการถึงระดับกำหนด</span></span><span lang="TH" style="line-height: 21px;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๔. ในขณะที่ยุคนี้ เทคโนโลยีกำลังมาแรง ครูและผู้จัดระบบการบริหารจัดการครู ต้องตั้งสติให้ดีว่า คนจะต้องใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเท่านั้น อย่าหลงหรือเผลอให้เทคโนโลยีมาใช้คน โดยไม่รู้ตัว เพราะมิฉะนั้น จะถึงจุดอันตราย ที่ความเป็นมนุษย์จะสูญสิ้น จะมีแต่ความเป็นวัตถุเมื่อถึงขั้นนั้น คนจะพูดกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง แต่จะพูดกันด้วยวัตถุ หรือเงิน หรือผลประโยชน์อื่น ๆ</span></span><span lang="TH" style="background-color: white; color: #333333; line-height: 21px; text-align: start;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ๕. สภาพแวดล้อมทางสื่อสารมวลชนมีบทบาทสำคัญเสมือนหนึ่งเป็นครูโดยอัตโนมัติ เพราะสามารถสื่อความหมายสิ่งต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดีที่มีอิทธิพลต่อคนไม่ยิ่งหย่อนหรือมากไปกว่าครูด้วยซ้ำไป ดังนั้น วิชาการทางสื่อสารมวลชนไม่ว่าจะเป็นนิเทศศาสตร์หรือชื่ออื่นใด ควรจะมีวิชาคุณธรรมความเป็นครูให้ศึกษาด้วย และให้ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหรือเสมือนเป็นครูคนหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อความรู้สึกรับผิดชอบต่อผลของการเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ จะเพิ่มความเข้า</span></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><a href="http://phuphanteacher.blogspot.com/2011/07/blog-post_05.html">อ้างอิง</a></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span><span lang="TH" style="line-height: 115%;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> </span></span></span></h3>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03696753016549964197noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1059236219485918166.post-31977393570431094422013-08-05T10:54:00.001+07:002013-08-11T16:39:21.554+07:00ประเพณีไทย<div>
<h1>
<span style="font-family: Verdana; font-size: small;"><b><span style="color: #333333;">ประเพณีบุญบั้งไฟ</span></b></span></h1>
<div>
<h3>
<span style="font-family: Verdana; font-size: medium;"><b><span style="color: #333333;"><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: small;"><span style="font-family: Verdana;"><b>ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ</b></span></span> <br />
</span></b></span></h3>
</div>
</div>
<div align="right">
<span style="font-family: Verdana; font-size: x-small;"><b><span style="color: red;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html#bangfai"><span style="font-family: Arial;"></span></a></span></b></span><span style="font-family: Verdana; font-size: x-small;"><b><br /><span style="color: #333333;"><b></b></span></b></span></div>
<div align="right">
<span style="font-family: Verdana; font-size: medium;"><b><span style="color: #333333;"><span style="font-size: small;"><b></b></span> <br />
</span></b></span></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana; font-size: medium;"><b>ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ </b></span></span></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana; font-size: medium;"><b>ภาพงานบุญบั้งไฟ </b></span><br />
</span></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
</span>
<br />
<div align="center">
<a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><img alt="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ " border="0" height="366" src="http://www.dmc.tv/images/00-iimage/bangfai-1.jpg" style="margin: 0px;" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ " width="535" /></a></div>
</div>
<div align="center">
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ประเพณีบุญบั้งไฟ</b></span><br />
<br />
<h2 align="left">
<span style="color: #3300ff; font-family: Arial; font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana; font-size: small;">ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ</span></span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <br />
</span></h2>
</div>
</div>
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><u><b>ประเพณีบุญบั้งไฟ</b></u></a> เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจาก<a href="http://www.dmc.tv/articles/jataka.html" target="_blank" title="นิทาน"><span style="color: #333333;">นิทาน</span></a>พื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงาน<a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ">บุญบั้งไฟ</a>ขึ้น
เพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง
ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล
และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก
หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล
อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ <span style="color: red;"><b>ช่วงเวล<span style="font-size: x-small;">าของประเพณี<a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ">บุญบั้งไฟ</a>คือ</span>เดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี</b></span>- wikipedia<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <b>ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัด มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของ<a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ">ประเพณีบุญบั้งไฟ</a>ในแง่ต่างๆ ไว้ดังนี้</b><br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"></span><br />
<br />
<br />
<br />
<a name='more'></a></div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<br />
<br />
<div>
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ</span></h3>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
</span>
<br />
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลก<a href="http://www.dmc.tv/search/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2" target="_blank" title="เทวดา"><span style="color: #333333;">เทวดา</span></a> และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็น</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">ตัวอย่าง
ที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน”
เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน
มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน
การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดี
ไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน
และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป
แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน
นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก
หรือคางคก
พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์</span></div>
<div align="justify">
</div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><img alt="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ " border="0" height="364" src="http://www.dmc.tv/images/00-iimage/bangfai-2.jpg" style="margin: 0px;" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ " width="535" /></a><br />
</span></div>
<div align="center">
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana; font-size: medium;"><b><span style="font-family: Arial; font-size: x-small;">งานแห่บั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟ </span><br />
</b></span></span></div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana; font-size: medium;"><b></b></span></span></div>
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Arial; font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana; font-size: small;">ความหมายของบั้งไฟ</span></span></h3>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
คำว่า<b> “บั้งไฟ”</b> ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า “<b>บ้องไฟ</b>”
แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า”บั้งไฟ”ดังที่ เจริญชัย ดงไพโรจน์
ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่า บั้งหมายถึง สิ่งที่เป็นกระบอก
เช่น บั้งทิง สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือบั้งข้าวหลาม เป็นต้น <br />
</span></div>
<div align="center">
<a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><img alt="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ " border="0" height="540" src="http://www.dmc.tv/images/00-iimage/bangfai-8.jpg" style="margin: 0px;" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ " width="326" /></span></a></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">การเอาหมื่อใส่กระบอก</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">บั้งไฟ</span></b> <br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
ส่วนคำว่า <u><b>บ้อง</b></u> หมายถึง สิ่งของใดๆ ก็ได้ที่มี 2
ชิ้น มาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ ส่วนนอกเรียกว่า บ้อง
ส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บ้องมีด บ้องขวาน
บ้องเสียม บ้องวัว บ้องควาย ดังนั้น คำว่า บั้งไฟ
ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง
มีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่า หมื่อ
(ดินปืน) และเอาหมื่อนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ตำให้แน่นเจาะรูตอนท้ายของบั้งไฟ
เอาไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอกให้ใส่หมื่อโดยรอบ
เอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว
สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน เรียกว่า “<b>บั้งไฟ</b>”
ในทัศนะของผู้วิจัย บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก ท่อเอสลอน
หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน)
ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้วประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่างๆ
ตามที่ต้องการ เพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศ จะมีควันและเสียงดัง <a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ">บั้งไฟ</a>มีหลายประเภท ตามจุดมุ่งหมายของประโยชน์ในการใช้สอย</span><br />
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ประเพณีบุญบั้งไฟ</span></h3>
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">
ในทางศาสนาพุทธกับประเพณีบุญบั้งไฟ</span></h3>
</div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <span style="font-size: small;">
มีการฉลองและบูชาใน<a href="http://www.dmc.tv/pages/buddha_biography/Vesak_Day_Lord_Buddha_Day.html" target="_blank" title="วันวิสาขบูชา"><b>วันวิสาขบูชา</b></a>กลางเดือนหก มีการทำดอกไม้ไฟในแบบต่างๆ ทั้งไฟน้ำมัน ไฟธูปเทียนและดินประสิว มีการ<a href="http://www.dmc.tv/pages/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4.html" target="_blank" title="ทำทาน"><span style="color: #333333;">ทำทาน</span></a> รักษาศีล เจริญภาวนา </span><br />
</span></div>
<div>
</div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><img alt="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" border="0" height="365" src="http://www.dmc.tv/images/00-iimage/bangfai-9.jpg" style="margin: 0px;" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" width="535" /></a> </span></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">บั้งไฟขนาดเล็ก</span></b></span></div>
<div align="left">
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ประเพณีบุญบั้งไฟ</span></h3>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b></b> </span></div>
<div>
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ส่วนประกอบของบั้งไฟ</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <br />
</span></h3>
</div>
<div>
</div>
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <b>1. เลาบั้งไฟ</b> เลาบั้งไฟคือส่วนประกิบที่ทำหน้าที่บรรจุดินปืน มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาว มี</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">ความ
ยาวประมาณ 1.5 - 7 เมตร ทำด้วยลำไม้ไผ่เล้วใช้ร้วไม้ไผ่ (ตอก)
ปิดเป็นเกลียวเชือกพันรอบเลาบั้งไฟอีกครั้งหนึ่งให้แน่น
และใช้ดินปืนที่ชาวบ้านเรียกว่า"หมือ" อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟ
ด้วยวิธีใช้สากตำ</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">แล้ว
เจาะรูสายชนวน เสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟ ไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟ
ในสมัดต่อมานิยมนำวัสดุอื่นมาใช้เป็นเลาบั้งไฟแทนไม้ไผ่ ได้แก่ ท่อเหล็ก
ท่อพลาสติก เป็นต้น
เรียกว่าเลาเหล็กซึ่งสามารถอัดดินปืนได้แน่นและมีประสิทธิภาพในการยิงได้
สูงกว่า</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <br />
</span>
<br />
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <b>
2. หางบั้งไฟ </b>หางบั้งไฟถือเป็นส่วนสำคัญทำหน้าที่คล้ายหางเสือ
ของเรือคือสร้างความสมดุลย์ให้กับบั้งไฟคอยบังคับทิศทางบั้งไฟให้ยิงขึ้นไป
ในทิศทางตรงและสูง บั้งไฟแบบเดิมนั้น ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำ
ต่อมาพัฒนาเป็นหางท่อนเหล็กและหางท่อนไม้ไผ่ติดกันหางท่อนเหล็กมีลักษณะเป็น
ท่อนกลม ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร
ทำหน้าท่เป็นคานงัดยกลำตัวบั้งไฟชูโด่งชี้เอียงไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30-40
องศากับพื้นดิน โดยบั้งไฟจะยื่นไปข้างหน้ายาวประมาณ 7-8 เมตร
ปลายหางด้านหนึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งบั้งไฟ</span></div>
</div>
<div>
</div>
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <b> 3. ลูกบั้งไฟ</b>
เป็นลำไม้ไผ่ที่นำมาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลำบั้งไฟ
บั้งไฟลำหนึ่งจะประกอบด้วยลูกบั้งไฟประมาณ 8-15 ลูก
ขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟ
เดิมลูกบั้งไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียกเรียงตามลำดับคู่ขนาดใหญ่ไปหาคู่ที่มีขนาด
เล็กกว่าได้แก่ ลูกโอ้ ลูกกลาง ลูกนางและลูกก้อย
ลูกบั้งไฟช่วยให้รูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงาม
นอกจากนี้ลูกบั้งไฟยังเป็นพื้นผิวรองรับการเอ้หรือการตกแต่งลวดลายปะ
ติดกระดาษ</span></div>
<div align="justify">
</div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><img alt="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" border="0" height="364" src="http://www.dmc.tv/images/00-iimage/bangfai-3.jpg" style="margin: 0px;" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" width="535" /></a><br />
</span></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><b>ประเพณีบุญบั้งไฟ </b></a><br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ประเพณีบุญบั้งไฟ</span></h3>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>ลายบั้งไฟ</b></u>
: ใช้ลายศิลปไทย คือ ลายกนก อันเป็นลายพื้นฐานในการลับลายบั้งไฟ
โดยช่างจะนิยมใช้กระดาษดังโกทองด้านเป็นพื้นและสีเม็ดมะขามเป็นตัวสับลาย
เพื่อให้ลายเด่นชัดในการตกแต่งเพื่อให้ความสวยงาม</span></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
<u><b>ตัวบั้งไฟ</b></u> : มีลูกโอ้จะใช้ลายประจำยาม ลายหน้าเทพพนม ลายหน้ากาล ลูกเอ้ใช้ลายประจำยาม ก้ามปูเปลว และลายหน้ากระดาน ฯลฯ<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>กรวยเชิง </b></u>: เป็นลวดลายไทยที่เขียนอยู่เชิงยาบที่ประดับพริ้วลงมาจากช่วงตัวบั้งไฟ<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <b> </b><u><b>ยาบ</b></u> : เป็นผ้าประดับใต้เลาบั้งไฟ จะสับลายใดขึ้นอยู่กับช่างบั้งไฟนั้น เช่น ลายก้านขูดลายก้าน<br />
ดอกใบเทศ<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>ตัวพระนาง</b></u> : เป็นรูปลักษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่ หรือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ พระลักษณ์ พระราม เป็นต้น<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>กระรอกเผือก</b></u> : ท้าวพังคี แปลงร่างมาเพื่อให้นางไอ่หลงใหล<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>ปล้องคาด</b></u> : ลายรักร้อย ลายลูกพัดใบเทศ ลายลูกพัดขอสร้อย เป็นต้น<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>เกริน</b></u> : เป็นส่วนที่ยื่นออกสองข้างของบุษบก เป็นรูปรอนเบ็ดลายกนก สำหรับตั้งฉัตรท้ายเกริน ราชรถประดับส่วนท้ายของหางบั้งไฟ<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>บุษบก</b></u> : เป็นองค์ประกอบไว้บนราชรถ เพื่อสมมุติให้เป็นปราสาทผาแดงนางไอ่<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>ต้างบั้งไฟ</b></u> : ลายกระจังปฏิญาณ ลายก้านขด ลายพุ่มข้าวบิณฑ์<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <u><b>ลายประกอบตกแต่งอื่นๆ</b></u> : ลายกระจังตั้ง กระจังรวน กระจังตาอ้อย ลายน่องสิงห์ บัวร่วน กลีบขนุน<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><img alt="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" border="0" height="365" src="http://www.dmc.tv/images/00-iimage/bangfai-4.jpg" style="margin: 0px;" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" width="535" /></a> <b></b></span></div>
<div align="center">
</div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ">ประเพณีบุญบั้งไฟ</a></b></span></div>
<div align="left">
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ประเพณีบุญบั้งไฟ</span></h3>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b> </b></span></div>
<div>
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ประเภทของบั้งไฟ</span></h3>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
<b>1. บั้งไฟโหวด</b></span></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
บั้งไฟโบดหรือโหวดเป็นบั้งไฟขนาดเล็กตัวกระบอกจะยาวขึ้น ประมาณ 4-10 นิ้ว
บรรจุหมื่อหนักประมาณ 1 ส่วน 8 ถึง 1 ส่วน 2 กิโลกรัม ใช้หางยาวประมาณ 1-4
เมตร มีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ มัดวางรอบตัวบั้งไฟ นิยมทำประกอบกันในบั้งไฟใหญ่
(บั้งไฟหมื่น, บั้งไฟแสน) ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมทำ เพราะไม่มีช่าง<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">2. บั้งไฟม้า</span></b></div>
<div>
</div>
<div>
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <span style="font-size: x-small;">บั้งไฟชนิดนี้เป็นบั้งไฟขนาดเล็กจุดไปตามทิศทางที่กำหนดใช้เส้นลวดเป็นวิถีตรึงไปยังเป้าหมาย</span></span><span style="font-family: Arial; font-size: x-small;">ที่
ต้องการ ลักษณะทั่วไปเป็นบั้งไฟที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ 1 ปล้อง
ขนาดแล้วแต่ต้องการ โดยทั่วไปเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 1
ฟุตทางภาคกลางและภาคอีสานเรียกว่า “ลูกหนู”</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><span style="font-size: x-small;"> คล้ายม้าที่กำลังวิ่ง ถ้าติดรูปอะไรก็เรียกชื่อไปตามนั้น เป็นคนขี่ม้า รูปวัว แล้วแต่จะทำรูปอะไร บางครั้งภาคเหนือเรียกว่า บอกไฟยิง</span><br />
</span></div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">3. บั้งไฟช้าง</span></b></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
</span>
<br />
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
บั้งไฟชนิดนี้ไม่มีหาง มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่ากระโพกหรือตะโพก เวลาจุดไม่ต้องการให้พุ่งขึ้นไป</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">แต่
ต้องการมีเสียงร้องคล้ายกับช้างร้อง
วิธีทำบั้งไฟให้ใช้กระบอกไม้ไผ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดยาวเพียงป้องเดียวให้มี
ข้อปิดทั้ง 2 ด้าน ทุบไม้ไผ่ให้แตกเล็กน้อย เจาะรู
เพื่อบรรจุหมื่อแล้วต่อชนวนเข้ารูแท่งหมื่อทำจากหมื่อถ่าน 3-4
อัดลงในไม้ไผ่ขนาดเล็กให้แน่น แล้วผ่าเอาแท่งหมื่อออกมาคล้ายข้าวหลาม
ให้ได้แท่งประมาณ 3 นิ้ว การจุดนั้นนิยมต่อพ่วงชนวนบั้งไฟใหญ่
เวลาจุดชนวนผ่าจะเกิดเสียงดังเหมือนเสียงช้างร้อง นิยมวางต่อกันเป็นช่วงๆ
กระบอก
ถ้าต้องการจะให้มีเสียงดังอย่างไรก็จะมีเทคนิคในการทำให้เกิดเสียงนั้นๆ</span></div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <br />
</span></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><img alt="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" border="0" height="547" src="http://www.dmc.tv/images/00-iimage/bangfai-5.jpg" style="margin: 0px;" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ภาพงานบุญบั้งไฟ" width="386" /></a></span></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
</span></div>
<div align="center">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><b>ประเพณีบุญบั้งไฟ</b></a> <br />
</span></div>
<div align="center">
</div>
<div>
<b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">4. บั้งไฟแสน</span></b></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
บั้งไฟชนิดนี้เป็นบั้งไฟขนาดใหญ่ที่สุด บรรจุดินปืนหนัก 120 กิโลกรัมขึ้นไป
บั้งไฟขนาดนี้ทำยากที่สุดจะต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ
เพราะบั้งไฟขนาดนี้หากแตกแล้วจะเป็นอันตรายมาก
เพราะฉะนั้นก่อนทำบั้งไฟจะต้องมีพิธีกรรมบวงสรวงให้ถูกต้องตามหลักการทำบั้ง
ไฟแสนเสียก่อนจึงจะลงมือทำ
เมื่อตกบั้งไฟเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีการตกแต่งประดับประดาบั้งไฟ<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">5. บั้งไฟตะไล</span></b></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
บั้งไฟชนิดนี้ก็คือบั้งไฟจินายขนาดใหญ่นั่นเอง มีความยาวประมาณ 9-12 นิ้ว
รูปร่างกลมมีไม้บางๆ แบนๆ
เป็นวงกลมครอบหัวท้ายบั้งไฟเมื่อพุ่งขึ้นสู่ฟ้าไปโดยทางขวาง<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div>
<b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">6. บั้งไฟตื้อ</span></b></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
</span>
<br />
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
บั้งไฟตื้อหรือบั้งไฟกระแตนั่งตอ เป็นบั้งไฟขนาดเล็กมีหางสั้น วิธีทำ
ตัดกระบอกไม้ไผ่ขนาด 1 นิ้วครึ่งยาวประมาณ 3 นิ้ว อัดหมื่อให้แน่นประมาณ 2
นิ้ว ใช้หมื่อถ่านสามหรือถ่านสี่อัดด้วยเถียดไม้ให้แน่น
ต่อหางซึ่งทำจากไม้ไผ่ เหลาเป็นแท่งเล็กๆ ใช้เลื่อยตัดมุมข้อออกจนเห็นหมื่อ
เจาะให้เป็นรูเล็กๆ แล้วติดชนวน
เวลาจะจุดเอาหางเสียบลงในแท่นที่ตั้งพอให้ตั้งได้ จุดชนวนจากด้านบน
บั้งไฟจะพุ่งและหมุนขึ้นสู่อากาศ เกิดเสียงดังตือๆ
เวลาหมุนจะไม่ค่อยมีทิศทาง ใช้จุดในงานศพ
เวลาจุดมีอันตรายมากไม่ค่อยนิยมทำกัน</span></div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<b><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">7. บั้งไฟพลุ</span></b></div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
</span>
<br />
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
บั้งไฟพลุ เป็นบั้งไฟที่นิยมจุดในเทศกาลต่างๆ เช่น งานกฐิน งานบุญมหาชาติ หรือ งานเปิดกีฬา ฯลฯ</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> เป็นบั้งไฟที่จุดแล้วทำให้เกิดเสียงดัง ในอดีตนิยมจุดในงานกฐิน เพื่อเป็นการบอก<a href="http://www.dmc.tv/articles/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2.html" target="_blank" title="ข่าว"><span style="color: #333333;">ข่าว</span></a>ไปยังพี่น้องประชาชนทั่วไปให้ทราบ</span></div>
<div>
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ประเพณีบุญบั้งไฟ</span></h3>
</div>
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
จากพงศาวดารเมืองยโสธรได้บันทึกไว้ว่า เมื่อราวๆ ปี พ.ศ. 2340
พระเจ้าวรวงศา (พระวอ)
เสนาบดีเก่าเมืองเวียงจันทน์กับสมัครพรรคพวกเดินทางอพยพจะไปอาศัยอยู่กับ
เจ้านครจำปาศักดิ์ เมื่อเดินทางถึงดงผีสิงห์เห็นเป็นทำเลดี
จึงได้ตั้งหลักฐานและสร้างเมืองที่นี่เรียกว่า<b> “</b><u><b>บ้านสิงห์ท่า</b></u><b>”</b> หรือ <b>“</b><u><b>เมืองสิงห์</b><b>ท่า</b></u>” ต่อมาใน พ.ศ. 2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าแห่งนี้ขึ้นเป็น<b> “เมืองยโสธร”</b>
ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มีเจ้าเมืองดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรราชวงศา ในปี
พ.ศ. 2515 ได้ยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 70
ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 ได้แยกอำเภอยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว
อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุม
ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี และรวมกันเป็นจังหวัดยโสธร ตั้งแต่วันที่ 1
มีนาคม 2515</span></div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;">
จังหวัดยโสธรมีเนื้อที่ประมาณ 4,161 ตารางกิโลเมตร
เป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในเขตอีสานตอนล่าง
จังหวัดยโสธรแบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ คือ อำเภอเมืองยโสธร
คำเขื่อนแก้ว มหาชนะชัย ป่าติ้ว เลิงนกทา กุดชุม ค้อวัง ทรายมูล
และไทยเจริญ<br />
</span></div>
<div>
</div>
<div align="justify">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html" target="_blank" title="ประเพณีบุญบั้งไฟ"><b>บุญบั้งไฟ</b></a>
นิยมทำกันในเดือนหก ถือเป็นประเพณีสำคัญที่จะขาดไม่ได้
เพราะตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ชาวอีสานมีความเชื่อว่า
ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง
ไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล
เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจาก<a href="http://www.dmc.tv/index.php?module=articles&action=showarticles&group=%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1&om=330" target="_blank" title="โรคภัย"><span style="color: #333333;">โรคภัย</span></a>
งานบุญบั้งไฟจึงถือเป็นงานประเพณี ประจำปีที่สำคัญของชาวอีสาน
พอใกล้ถึงวันงานชาวอีสานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับบ้านไปร่วมงานบุญบั้งไฟ
ซึ่งเป็นงานที่สร้างความรักความสามัคคีของคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี <a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=1059236219485918166" id="bangfai" name="bangfai"></a></span></div>
<div align="justify">
<h3>
<span style="color: #cc0000; font-family: Verdana; font-size: small;">ประเพณีบุญบั้งไฟ</span><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <br />
</span></h3>
</div>
<div align="center">
<span style="font-size: small;"><b><span style="color: #333333; font-family: Arial;">กำหนดการงานประเพณีบุญบั้งไฟ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด </span></b></span></div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><br />
</span>
<br />
<div align="left">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ปี 2556</b>
-วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 ปีมะเส็ง จ.ศ.1376 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 23
มิถุนายน พ.ศ. 2556 (วันแห่บั้งไฟ) วันจุดบั้งไฟทุก วันแรม 1 ค่ำเดือน
7(วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน 2556)</span><br />
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b></b></span></div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ปี 2557</b> -ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย จ.ศ.1376 ตรงกับวันพฤหัสบดี วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2557 (วันแห่บั้งไฟ)</span><br />
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b></b></span></div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ปี 2558 </b>-ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม จ.ศ.1377 ตรงกับวันจันทร์วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2558 (วันแห่บั้งไฟ)</span><br />
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b></b></span></div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ปี 2559</b> -ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก จ.ศ.1378 ตรงกับวันอาทิตย์วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2559 (วันแห่บั้งไฟ)</span><br />
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b></b></span></div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ปี 2560</b> -ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีระกา จ.ศ.1379 ตรงกับวันศุกร์วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2560 (วันแห่บั้งไฟ)</span></div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ปี<span style="font-size: x-small;"> </span>2561</b> -ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีจอ จ.ศ.1380 ตรงกับวันอังคารวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2561 (วันแห่บั้งไฟ)</span></div>
<div align="left">
</div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><b>ปี 2562</b> -ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีกุน จ.ศ.1381 ตรงกับวันจันทร์วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2562 (วันแห่บั้งไฟ) </span></div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<br />
<br />
<br />
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"><a href="http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F.html">อ้างอิง </a></span></div>
<div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03696753016549964197noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1059236219485918166.post-82326332260755799562013-08-05T10:38:00.003+07:002013-08-11T16:39:13.824+07:00วัฒนธรรมไทย เเละการละเล่น<br />
<h3 class="post-title entry-title">
ประเพณีวิ่งควาย
</h3>
<div class="post-header">
</div>
<div align="center">
<img height="264" id="imgb" src="http://www.thaigoodview.com/files/u31197/buffero.jpg" width="364" /></div>
<br />
สงสัยหรือเปล่าไอ้กีฬาที่วิ่งควายอะไรเนี่ย
ทำไมมีตามสะเก็ตข่าวบ่อยจังตอนเเรกนึกว่ากีฬาเเปลกที่คิดกันเอาเองเเต่ท
ี่ไหน มันเป็นยิ่งกว่ากีฬาครับเพราะ
จัดได้ว่าเป็นประเพณีที่ปฏิบัติมาช้านานเเล้วครับพี่น้อง
ลองอ่านกันดูนะครับผมว่าน่าสนครับ เพราะความเนี่ยไม่ได้โง่<br />
<b><span style="color: darkorchid;">ประเพณีวิ่งควาย
เป็นประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิมของจังหวัดชลบุรีมีอยู่แห่งเดียวในเมืองไทย
เมื่อใกล้เทศกาลออกพรรษาครั้งใดก็แสดงว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการไถหว่านได้ผ่าน
พ้นไปแล้ว ถึงเวลาที่บรรดาชาวไร่ชาวนา จะได้มีโอกาสหยุดพักผ่อน
เพื่อรอคอยเวลาที่ผลผลิตจะตกดอกออกรวงและก็เป็นเวลาที่วัวควายจะได้พัก
เหนื่อยเสียทีหลังจากที่ถูกใช้งานมาอย่างหนัก</span></b><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<br />
<b><span style="color: darkorchid;">ใน วันงาน
ชาวไร่นาจะหยุดงานทั้งหมด และจะตกแต่งควายของตนอย่างสวยงามด้วยผ้าแพรพรรณ
และลูกปัดสีต่างๆ และจะนําควายมาชุมนุมกันที่ตลาด
พร้อมกันนั้นก้จะนําผลิตผลของตนบรรทุกเกวียนมาขายให้ชาวบ้านร้านตลาดพร้อมๆ
กัน เมื่อจับจ่ายขายสินค้าซื้อหาของต้องประสงค์เสร็จแล้ว
ต่างคนต่างก็ถือโอกาสมาพบปะสนทนากัน บ้างก็จูงควายเข้าเที่ยวตลาด
บ้างก็ขึ้นขี่ควายวิ่งไปรอบๆตลาดด้วยความสนุกสนาน
จนกลายมาเป็นประเพณีการแข่งขันวิ่งควายกันขึ้น<br />
<br />
และจากการที่ชาวไร่ชาวนาต่างก็พากันตกแต่งประดับประดาควายของตนอย่างสวยงาม
นี่เอง ทําให้เกิดการประกวดประชันความสวยงามของควายกันขึ้น พร้อมๆ
ไปกับการแข่งขันวิ่งควาย<br />
<br />
ปัจจุบัน ประเพณีวิ่งควายในเขตเทศบาลเมืองชลบุรี จะจัดในวันขึ้น 14 คํ่า
เดือน 11 อําเภอบ้านบึง จัดในวันขึ้น 15 คํ่า เดือน 11 ตลาดหนองเขิน
อําเภอบ้านบึง จัดในวันแรม 1 คํ่า เดือน 11 วัดดอนกลาง ตําบลแสนสุข
อําเภอเมือง จัดวิ่งควายในวันทอดกฐินประจําปีของวัด<br />
<br />
ในวันนี้นอกจากจะจัดให้มีการแข่งขันวิ่งควาย ประกวดความงามของควาย
และประกวดสุขภาพของควายแล้ว ยังมีการ "สู่ขวัญควาย"
หรือทําขวัญควายไปในตัวอีกด้วย<br />
<br />
แม้ปัจจุบัน
เกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศจะหันมาใช้เครื่องจักรกลหรือที่เรียกว่าควายเหล็ก
ช่วยผ่อนแรงในการทํานาแล้วก็ตาม
แต่ชาวชลบุรีก้ยังคงอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นอันแปลกนี้อยู่
เพราะนอกจากจะเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดแล้ว
ยังเป็นเครื่องแสดงถึงความสามัคคีของชาวชลบุรีอีกด้วย <br />
</span></b><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><b>ที่มา ::ของประเพณีวิ่งควาย<br />
<br />
มีที่มาจากเหตุการณ์ที่ควายของ
ชาวบ้านที่เลี้ยงไว้เพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น
มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางผ่านมาได้แนะนำให้ชาวบ้านจัดพิธีบูชาเทพเจ้า
ประจำเมืองขึ้น ชาวบ้านจึงร่วมมือกันจัดพิธี
ขอให้เทพเจ้าประจำเมืองช่วยให้ควายหายป่วย เมื่อควายหายป่วย
ชาวบ้านจึงนำควายมาวิ่งเพื่อเป็นการแก้บน
หลังจากสิ้นฤดูการเพาะปลูกเป็นประจำทุกปี<br />
<br />
ประเพณีวิ่งควายยุคแรกเริ่มจัดขึ้นที่ วัดใหญ่อินทาราม จ.ชลบุรี
ซึ่งเกิดจากการที่ชาวบ้านมาชุมนุมกันที่วัด
และนำเครื่องกัณฑ์ใส่ควายเทียมเกวียนมาพักที่วัดเพื่อรอการติดกันเทศน์
ในเทศกาลเทศน์มหาชาติ<br />
<br />
ระหว่างที่รอเจ้าของควายจะนำควายของตนไปอาบน้ำที่สระภายในวัด
เมื่อต่างคนต่างก็พาควายไปอาบน้ำ
จึงเกิดมีการแข่งขันประลองฝีเท้าควายขึ้นมา
เพื่อความสนุกสนานและเพื่อทดสอบความแข็งแรงของควาย
เกิดเป็นประเพณีวิ่งควายอันขึ้นชื่อของจังหวัดชลบุรีที่โด่งดังไปไกลถึงต่าง
ประเทศ<br />
<br />
การแข่งขันวิ่งควายในระยะแรกเป็นเพียงการบังคับให้ควายขณะวิ่งในระยะที่
กำหนด โดยคนขี่ห้ามตกจากหลังควาย
ก่อนที่จะพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นการวิ่งควายในปัจจุบันที่มีการตกแต่ง
ควายอย่างสวยงาม อาทิ การแต่งตัวควายด้วยผ้าหลากสีสัน
หรือไม่ก็ตกแต่งด้วยเครื่องประดับมากมาย และมีอยู่ ครั้งหนึ่ง
ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชาวชลบุรีว่า
ในปีหนึ่งชาวชลบุรีไม่ได้จัดงานวิ่งควายบ้านของชาวบ้านได้เกิดไฟไหม้
และชาวบ้านได้ฝันว่า มีเทพ องค์หนึ่ง
ได้บอกกับชาวบ้านว่าถ้าไม่จัดอีกจะมีการเกิดไฟไหม้ขึ้นอีก</b></span></span><br />
ประเพณีวิ่งควาย เป็นประเพณีที่จัดเป็นประจำทุกปีในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน
11 ก่อนออกพรรษา 1 วัน เป็นประเพณีที่เป็นมรดกตกทอดมา แต่บรรพชนถึงปัจจุบัน
เพื่อเป็นการทำขวัญควายและให้ควายได้พักผ่อน จากงานในท้องนา
เพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า หากปีใดไม่มีการ
วิ่งควายปีนั้นควายจะเป็นโรคระบาดกันมาก
เพื่อแสดงรู้คุณต่อควายซึ่งเป็นสัตว์ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพทำนา
และเพื่อให้ชาวบ้านมาพบปะสังสรรค์กัน ส่วนใหญ่จัดงานในเขตเทศบาลเมืองชลบุรี
และอำเภอบ้านบึง เดิมมีแต่คนใน ท้องถิ่นรู้จัก
แต่ในปัจจุบันประเพณีวิ่งควายเป็นประเพณีประจำจังหวังชลบุรี
ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งชาวไทยและชาวต่าง <br />
<br />
<br />
ในอดีตประเพณีวิ่งควาย เป็นประเพณีวิ่งควายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ
ทางไสยศาสตร์ที่ว่า ถ้าควายของใครเจ็บป่วย เจ้าของควายควรจะนำควายของตน
ไปบนกับเทพารักษ์ และเมื่อหายเป็นปกติแล้วจะต้องนำความมาวิ่งแก้บน ฉะนั้น
ในปีต่อ ๆ
มาชาวบ้านก็นำควายของตนมาวิ่งเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยเสียแต่เนิ่น <br />
<br />
<br />
ส่วนความเชื่อในทางศาสนาพุทธนั้น เกิดจากการที่ชาวบ้านมาชุมนุมกัน
ที่วัดใหญ่อินทาราม จังหวัด ชลบุรี
เพื่อนำเครื่องกัณฑ์ใส่ควายเทียมเกียวนมาพักที่วัด
เพื่อจะรอการติดกันเทศน์ในเทศกาลเทศน์มหาชาติ ขณะที่รอเด็กเลี้ยงควายต่างก็
นำควายของตนไปอาบน้ำที่สระบริเวณวัด เมื่อต่างคนต่างพาควายของตนไปก็เกิดมี
การประลองฝีเท้าควายเกิดขึ้น เพื่อทดสอบสุขภาพความแข็งแรงกัน การแข่งขันใน
ระยะแรก ๆ จึงเป็นเพียงการบังคับควายขณะวิ่งในระยะที่กำหนดและห้ามตก
จากหลังควาย ต่อมาจึงเชื่อว่าการวิ่งควายได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
มีการวิ่งรอบตลาด เมื่อถึงเทศกาลก่อนออกพรรษา 1 วัน
ชาวบ้านร้านตลาดต่างก็จะรอดูควายที่มาวิ่งมีการ ตกแต่งควาย
ให้สวยงามและวิจิตรบรรจงมากขึ้นจนกลายเป็นประเพณีวิ่งควาย <br />
<br />
<br />
ส่วนขั้นตอนการวิ่งควายในปัจจุบันเจ้าของควาย จะตกแต่งควายอย่างงดงาม
ด้วยผ้าแพรพรรณ ดอกไม้หลากสี ตัวเจ้าของควายก็แต่งตัวอย่างงดงามแปลกตา เช่น
แต่งเป็นชาวเขา
ชาวอินเดียแดงหรือตกแต่งด้วยเครื่องทองประดับเพชรเหมือนเจ้าชาย ในลิเก
ละครที่แปลกตา แล้วนำควายมาวิ่งแข่งกัน
โดยเจ้าของเป็นผู้ที่ขี่หลังควายไปด้วย ความ
สนุกอยู่ที่ท่าทางวิ่งควายที่แปลกบางคนขี่ก็ลื่นไหลตกลงมาจากหลังควายและคน
ดู จำนวนมากจะส่งเสียงกันดังอย่างอื้ออึง และมีการเพิ่มประกวดสุขภาพควาย
ประกวด การตกแต่งควายทั้งสวยงาม และตลกขบขัน <br />
<br />
<br />
มีการประกวดน้องนางบ้านนา ทำให้ ประเพณีวิ่งควายมีกิจกรรมมากขึ้น
ชาวเกษตรกรรมต่างก็พอใจกัน พืชพันธุ์ธัญญาหาร ในไร่กำลังตกดอกออกรวง
จึงคำนึงถึงสัตว์ เช่น วัว ควาย ที่ได้ใช้งานไถนาเป็นเวลา หลายเดือน
ควรจะได้รับความสุขตามสภาพบ้าง จึงต่างตกแต่งวัว ควายของตนให้สวยงาม
บรรดาเกษตรกรมีการสังสรรค์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนมีการประกวดความ
สมบูรณ์ของวัวและควายที่เลี้ยงกัน เหตุที่เลือกเอาวันนี้เพราะเป็นวันพระ
ทุกคนจะต้อง หยุดงานไปวัดในวันพระ
ประเพณีวิ่งควายไม่ใช่เรื่องไร้สาระเป็นเรื่องที่แฝงไว้ด้วย
ความสามัคคีธรรม คนโบราณของเราเป็นคนที่ตระหนักในความกตัญญูกตเวทิตาคุณ
และมีความเมตตาธรรมสูง เห็นวัวควายทำงานให้กับคน
เป็นสัตว์ที่มีคุณแก่ชีวิตจึง สืบทอดประเพณีนี้ตลอด
<br />
<br />
<br />
<span id="goog_931161180"></span><a href="http://www.blogger.com/"></a><span id="goog_931161181"></span><br />
<a href="http://prapaneethai.blogspot.com/2010/11/blog-post_25.html">อ้างอิง</a><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img height="70" src="http://www.stou.ac.th/study/projects/training/culture/content/net1-55/Untitled-2%20copy.jpg" width="283" /></div>
<div align="right">
<span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: small;"><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><span style="color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: small;"><span style="color: #0099ff; font-size: x-small;">
</span></span><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><span style="color: #0099ff; font-size: x-small;"><br /></span></span></span></span></span><br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: small;"><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><span style="color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><span style="color: #0099ff; font-size: x-small;">
จากหนังสือตำนานว่าวไทย </span></span></span></span></span><br />
<span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: small;"><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><span style="color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><span style="color: #0099ff; font-size: x-small;">
เขียนโดย รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี</span></span></span></span></span><br />
<span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: small;"><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><span style="color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="color: blue;">
(เรียบเรียงเนื้อหาจากบทวิทยุกระจายเสียง) </span></span></span></span></div>
</div>
<span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><br />
ว่าวเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันดีมาตั้งแต่เด็ก
เพราะเป็นการละเล่นและเป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายทั่วทุกภาคของ<br />
ประเทศ เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ราคาก็ไม่แพงมากนัก หรือถ้าสามารถทำเองได้ยิ่งประหยัดค่าใช้จ่าย
เพราะวัสดุที่ใช้ทำก็เป็นวัสดุพื้นบ้าน<br />
ที่หาได้ง่าย แต่การทำต้องมีทักษะว่าวจึงจะขึ้นได้ดี เรียกว่าติดลม การเล่นว่าวมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
มิได้เป็นการเล่นเพียงแต่สนุกสนาน<br />
เหมือนกับปัจจุบันนี้เท่านั้น มีประวัติและความเป็นมาที่น่าสนใจของตำนานว่าวไทย</span><br />
<table align="center" border="0" style="height: 181px; width: 40%px;">
<tbody>
<tr>
<td><div align="center">
<img height="250" src="http://www.stou.ac.th/study/projects/training/culture/content/net1-55/2.1-1-55.gif" width="312" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="height: 38px; width: 293px;">
<tbody>
<tr>
<td><div align="right">
<span style="color: #0099ff; font-family: MS Sans Serif; font-size: xx-small;">ภาพจากหน่วยงานผลิตภาพถ่ายและไมโครฟอร์ม<br />
สำนักเทคโนโลยีการศึกษา<br />
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช</span></div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"><b><span style="color: #000099; font-size: medium;">ประวัติและความเป็นมาของว่าวไทย<br />
</span></b></span><span style="color: blue; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;"> ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา
ว่าวมิได้ใช้เฉพาะเพื่อความสนุกเท่านั้น แต่มีการใช้ว่าวในการสงคราม คือตอนที่พระยายมราช
(สังข์)<br />
เจ้าเมืองนครราชสีมาเป็นกบฎ พระเพทราชาสั่งกองทัพไปปราบเมืองไม่สำเร็จ
ในครั้งที่ 2 แม่ทัพอยุธยาคิดเผาเมืองอุบายหนึ่งนั้นใช้หม้อ<br />
ดินบรรจุดินดำผูกสายป่านว่าวจุฬาไปถึงหม้อดินดำระเบิดตกไปไหม้บ้านเมืองจาก
ประวัติศาสตร์ตอนนี้ปรากฏเป็นชื่อว่าวจุฬาเป็นครั้งแรก</span><br />
<br />
<br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03696753016549964197noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1059236219485918166.post-87496504516319230452013-08-05T09:25:00.002+07:002013-08-11T16:39:02.582+07:00ศาสนา (วันสำคัญ)<div style="text-align: center;">
<h2>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-large;"><span style="color: black;"><a href="http://hilight.kapook.com/view/23220" target="_new">วันวิสาขบูชา</a></span> ประวัติ<a href="http://hilight.kapook.com/view/23220" target="_new">วันวิสาขบูชา</a></span></h2>
</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img alt="วันวิสาขบูชา " border="0" class="img-mobile" height="600" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/pimjun/bhudda04.jpg" style="height: 600px; width: 400px;" width="400" /></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<b></b><b></b><br />
<div style="text-align: left;">
<b>วันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่ง วันวิสาขบูชา 2556 ตรงกับวันที่ 24
พฤษภาคม 2556 ประวัติวันวิสาขบูชา ความสําคัญ วันวิสาขบูชา หมายถึง
อะไรเรามีคำตอบ</b><br />
<br /></div>
</div>
<b><span style="color: maroon;">วันวิสาข
บูชา 2556 ตรงกับวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม ในปีนี้นับเป็นอภิลักขิตกาลพิเศษ
คือเป็นปีที่ครบ 2,600 พุทธศตวรรษ หรือ 2,600 ปี
แห่งการอุบัติขึ้นของพระพุทธศาสนา
และเชื่อว่าทุกคนรู้จักชื่อวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างวันวิสาขบูชากันดี
อยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบความเป็นมา และความสำคัญของ วันวิสาขบูชา
ถ้างั้นอย่ารอช้า...เราไปค้นหาความหมายของ วันวิสาขบูชา และอ่าน ประวัติ<span class="Apple-style-span" style="color: black; font-weight: normal;"><b><span style="color: maroon;">วันวิสาขบูชา <span class="Apple-style-span" style="color: black; font-weight: normal;"><b><span style="color: maroon;">พร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ</span></b></span></span></b></span></span></b>
</div>
<div style="text-align: left;">
<span class="Apple-style-span" style="color: maroon;"><b><br /></b></span>
</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<br />
<div style="text-align: left;">
<div style="text-align: left;">
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /> <b><span style="background-color: yellow;">ความหมายของ วันวิสาขบูชา</span></b><br />
<br />
<span style="color: blue;"> คำว่า<b> วิสาขบูชา </b>ย่อมาจากคำว่า <b>"วิสาขปุรณมีบูชา"</b> แปลว่า <b>"การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ"</b> ดังนั้น <b>วิสาขบูชา </b>จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6</span> <br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /> <b><span style="background-color: yellow;">การกำหนด วันวิสาขบูชา</span></b><br />
<br />
<b> วันวิสาขบูชา </b>ตรง
กับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย
ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน
8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด <b>วันวิสาขบูชา</b> ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้นๆ<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /><b><span style="background-color: yellow;">ประวัติวันวิสาขบูชา และ</span></b><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><b><span style="background-color: yellow;">ความสำคัญของ วันวิสาขบูชา</span></b></span></b></span></b></span></b></span></b></span> </b>
</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<b>วันวิสาขบูชา
ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3
เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6
แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3
ประการ ได้แก่</b>...<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img alt="วันวิสาขบูชา " border="0" class="img-mobile" height="475" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/pimjun/bhudda02.jpg" style="height: 475px; width: 500px;" width="500" /></div>
<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-147.gif" /><b><span style="color: blue;">1. <span style="color: black;"><span style="color: blue;">วันวิสาขบูชา</span> </span>เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ</span></b><br />
เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์
ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ
เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น
ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน
พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6
ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน
ก็ได้รับการถวายพระนามว่า <b>"สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา"</b><br />
เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4
ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ
ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า
นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า <b>"พระ
ราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก
จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย"</b>
แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร
พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้น
ด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img alt="วันวิสาขบูชา " border="0" class="img-mobile" height="326" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/pimjun/bhudda03.jpg" style="height: 326px; width: 600px;" width="600" /></div>
<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-147.gif" /><b><span style="color: blue;">2. วันวิสาขบูชา<span style="color: black;"> </span>เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ</span></b><br />
<br />
หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา
เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์
ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15
ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี
ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา
แห่งรัฐพิหารของอินเดีย<br />
<br />
<b> สิ่งที่ตรัสรู้ คือ
อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า
ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์
และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4
แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ</b><br />
</div>
<div align="center" style="text-align: left;">
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> <b>ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ "</b> คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><b> ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ"</b> คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> <b>ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ"</b>
คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน 6
ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา<br />
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<img alt="วันวิสาขบูชา " border="0" class="img-mobile" height="400" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/pimjun/bhudda01.jpg" style="height: 400px; width: 500px;" width="500" /></div>
<div align="center" style="text-align: left;">
<br />
<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-147.gif" /><b><span style="color: blue;">3. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)</span></b><br />
<br />
เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี
จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี
แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6
พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ
ตามคำกราบทูลนิมนต์
พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายก็เกิดอาพาธลง
แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ
เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน<br />
<br />
เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า <b>"ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้
บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"</b> หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน 6 นั้น</div>
<div align="center" style="text-align: left;">
<b> </b><br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /> <b><span style="background-color: yellow;">ประวัติความเป็นมาของ วันวิสาขบูชา ในประเทศไทย</span></b><br />
<br />
ปรากฏหลักฐานว่า <b>วันวิสาขบูชา</b>
เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา นั่นคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420
พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น
เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกา พระองค์อื่นๆ
ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา<br />
<br />
<span style="color: blue;">
ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น
น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนา
กับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด
เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา
และนำการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย</span><br />
<br />
สำหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น
ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ สรุปได้ว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชา
พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน
ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนคร ด้วยดอกไม้
พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน
เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์
ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ
ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์
และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายในไปยังพระอารามหลวง
เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม
ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน
ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ</div>
<br />
<span style="color: maroon;">หลัง
จากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น
ทำให้ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา
จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360)
ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช
(มี) สำนักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรก ในวันขึ้น 14
ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360
และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญ
ทำกุศล โดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาในครานี้
จึงถือเป็นแบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธี <b><span style="color: black;"><span style="color: maroon;">วันวิสาขบูชา</span> </span></b>ต่อเนื่องมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน</span><br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /> <b><span style="background-color: yellow;">วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ</span></b><br />
<b>วันวิสาขบูชา</b>
ถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา
เนื่องจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ
เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ <b><span style="color: blue;">และ
ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม
กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day
ตามคำเรียกของชาวศรีลังกา</span></b>
ผู้ที่ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา
และได้กำหนดวันวิสาขบูชานี้ถือเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ
ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา
โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลกนั้น
ได้ให้เหตุผลไว้ว่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวล
มนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา
เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ
และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<img alt="วันวิสาขบูชา " border="0" class="img-mobile" height="334" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/pimjun/bhudda05.jpg" style="height: 334px; width: 500px;" width="500" /></div>
<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /> <b><span style="background-color: yellow;">การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา</span></b><br />
<br />
<b>การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา จะแบ่งออกเป็น 3 พิธี ได้แก่</b><br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบในวันวิสาขบูชา<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 2. พิธีราษฎร์ คือ พิธีของประชาชนทั่วไป<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 3. พิธีของพระสงฆ์ คือ พิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจ<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /> <b><span style="background-color: yellow;">กิจกรรมใน วันวิสาขบูชา</span></b><br />
<b>กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติใน วันวิสาขบูชา ได้แก่</b><br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 1. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 2. จัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 3. ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 4. ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถที่วัดในตอนค่ำ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 5. ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 6.
จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ
หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาตามโรงเรียน
หรือสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อให้ความรู้
และเป็นการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 7. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> 8. บำเพ็ญสาธารณประโยชน์<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann01.gif" /> <b><span style="background-color: yellow;">หลักธรรมที่สำคัญใน วันวิสาขบูชา ที่ควรนำมาปฏิบัติ</span></b><br />
<br />
<b>ใน วันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่</b><br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-147.gif" /><b><span style="color: blue;">1. ความกตัญญู</span></b><br />
<br />
คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที
ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้
เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข
ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก
ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ<br />
<br />
ในพระพุทธศาสนา
เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์
ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระ
พุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-147.gif" /><b><span style="color: blue;">2. อริยสัจ 4</span></b><br />
คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> <b>ทุกข์ คือ</b>
ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่
และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ
ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น
การพลัดพลากจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> <b>สมุทัย คือ</b>
ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์
และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> <b>นิโรธ คือ</b> ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /> <b>มรรค คือ</b>
หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ
ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ
ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ<br />
<br />
<br />
<img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-147.gif" /><b><span style="color: blue;">3. ความไม่ประมาท</span></b><br />
คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ
เพราะสติคือการระลึกได้
การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา
ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ<br />
<br />
<br />
<b>วันวิสาขบูชา
นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน
เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ
พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์
อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ
ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน
และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการ
ดำรงชีวิตค่ะ</b></div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<br />
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<a href="http://hilight.kapook.com/view/23220">อ้างอิง</a></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03696753016549964197noreply@blogger.com0